Sensory Diet Activities to Help Kids Focus on Homework!
- Kannapat Chotsittiwat., OTRL

- 9 ก.ค.
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 12 ก.ค.
"เล่นยังไง ช่วยส่งเสริมการจดจ่อ และเพิ่มสมาธิ ผ่านระบบประสาทรับความรู้สึก"
Authorized by ครูรัน / OTRL
Perspective OT : มุมมองนักกิจกรรมบำบัด
สำรวจความต้องการเฉพาะของลูกๆ เพื่อที่คุณจะได้ช่วยส่งเสริมสมาธิ และพฤติกรรมการเรียนรู้!
🎯 เด็กๆที่บ้าน รู้สึกเบื่อเหนื่อย ไม่มีสมาธิใช่ไหม?
ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่…ระบบประสาทสัมผัสของเราต้องการ “อาหาร” มากกว่าที่คุณคิด!
คุณพ่อคุณแม่ เคยรู้สึกไหมว่า…
🔹 เด็กๆ นั่งเรียนได้ไม่นานก็ลุกเดิน
🔹 ผู้ใหญ่ทำงานแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เริ่มหงุดหงิด หรือเหม่อลอยเคว้งไปไหนต่อไหน
🔹 ทำการบ้านแค่หน้าเดียว ใช้เวลาเท่าอ่านหนังสือทั้งเล่ม!
จริงๆ แล้วสิ่งต่างๆเหล่านี้…มันไม่ใช่เรื่องของ “ความขี้เกียจ” ของร่างกายเรา
แต่มันคือเรื่องของระบบประสาทสัมผัสที่ต้องการ การ.... “เติมเต็ม”!
ในฐานะนักกิจกรรมบำบัด เรารู้ว่าการ "กระตุ้นระบบประสาทสัมผัส" อย่างถูกวิธี
สามารถช่วยให้สมอง “ตื่น” และ “โฟกัส” ได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งกาแฟ หรือดุลูกให้ตั้งใจเรียน ให้จดจ่อกับการบ้านและมีสมาธิเพิ่มขึ้น

🌟 “ลูกไม่มีสมาธิ ทำการบ้านยากไหม?” 🌟
บางครั้ง... คำตอบอาจอยู่ที่ ระบบประสาทรับความรู้สึก ของลูกคุณ!
เด็กแต่ละคนมีความต้องการด้านประสาทสัมผัสที่ไม่เหมือนกัน บางคนต้องเคลื่อนไหวมากกว่าปกติ บางคนไวต่อเสียงหรือแสง หรือบางคนชอบกิจกรรมที่ต้องออกแรงเพื่อให้รู้สึก “พร้อม” สำหรับการเรียนรู้
🧠 ระบบประสาทรับความรู้สึก (Sensory System) มีบทบาทสำคัญมากในการช่วยให้เด็กมีสมาธิ จดจ่อ และเรียนรู้ได้ดี — ผ่านการเล่น การเคลื่อนไหว และการรู้สึกถึงร่างกายตัวเองอย่างเต็มที่
🎯 กลยุทธ์กิจกรรมบำบัดที่บ้าน ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มได้ทันที 🎯

กิจกรรมเคลื่อนไหวและทรงตัว เช่น กระโดดบนแทรมโพลีน ปีนบันได หรือกลิ้งตัวบนพรม เพื่อให้สมอง "ตื่นตัว"พร้อมจดจ่อกับการทำการบ้าน
Heavy Work Activities เช่น ดัน/ดึงของหนัก เล่นถุงทราย บีบหมอนโฟม — ช่วยกระตุ้นการรับรู้ตำแหน่งร่างกาย (Proprioception)
การสัมผัสเพื่อความสงบ เช่น กอดตุ๊กตานิ่มๆ บีบลูกบอลผิวสัมผัส เพื่อช่วยควบคุมอารมณ์และสมาธิ
ลดสิ่งเร้ารอบตัว เช่น จัดมุมทำการบ้านให้แสงพอดี ลดเสียงรบกวน เพื่อหลีกเลี่ยง Sensory Overload
การกระตุ้นช่องปากหรือการฟัง เช่น เคี้ยวหมากฝรั่ง ดูดน้ำเย็น/น้ำปั่นจากหลอด หรือฟังเสียงธรรมชาติ เพื่อช่วยให้สมองสมดุลมากขึ้น

🤝 “วิธีเรียนรู้” ที่เหมาะกับตัวเอง
กิจกรรมบำบัดสามารถช่วย “ถอดรหัส” ความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละคนได้ — เพื่อช่วยให้เขามีสมาธิ ทำการบ้านง่ายขึ้น และสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น
ไม่ใช่ทุกการกระตุ้นจะเหมาะกับเด็กทุกคน — เพราะพัฒนาการที่แท้จริงต้องเข้าใจ “ระบบประสาทของแต่ละคน” อย่างเฉพาะบุคคล และนั่นคือจุดแข็งของนักกิจกรรมบำบัด ที่จะช่วยเด็กๆได้อย่างตรงจุด
🎯 “อยากให้ลูกมีสมาธิมากขึ้น? เริ่มต้นที่...การเคลื่อนไหวและการทรงตัว”
เด็กที่ดูไม่อยู่นิ่ง ขยับตัวบ่อย หรือไม่มีสมาธิในการทำการบ้าน อาจไม่ได้แค่ “ซน” — แต่อาจเป็นเพราะ "ระบบประสาททรงตัว และการควบคุมร่างกายยังไม่พัฒนาเต็มที่"

🌀 1. ระบบการทรงตัว (Vestibular System): เคลื่อนไหวเพื่อปลุกสมองให้พร้อมเรียนรู้
เด็กจำนวนมากต้อง เคลื่อนไหวก่อนจะมีสมาธิ ระบบการทรงตัวคือระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว สมดุล และการควบคุมการจ้องมอง — ซึ่งเชื่อมโยงกับความสามารถในการจดจ่อและเรียนรู้
✔ กิจกรรมที่แนะนำ:
วิ่งเล่น กระโดด ขี่จักรยาน หรือสกู๊ตเตอร์
เล่นสนามเด็กเล่น ปีนป่าย และกิจกรรมกลางแจ้ง
สร้าง “เส้นทางเดินในบ้าน” เช่น เดินไป–กลับขณะท่องศัพท์
กำหนดช่วงเวลาเบรกเคลื่อนไหวระหว่างทำการบ้าน
แสงธรรมชาติและพื้นที่โล่ง ยังช่วยให้ระบบประสาทตื่นตัว และลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

💪 2. ระบบรับความรู้สึกจากข้อต่อ และกล้ามเนื้อ (Proprioceptive System): สงบ–จดจ่อ ด้วยแรงกดลึก (Deep Pressure)
✔ กิจกรรมที่แนะนำ:
ดัน–ดึงของ เช่น ลากกระเป๋า หรือย้ายเบาะ
กระโดดบนแทรมโพลีน / กระโดดเชือก / เล่นฮูลาฮูป
โยคะเด็ก หรือยืดกล้ามเนื้อแบบมีแรงต้าน
นอนคว่ำทำกิจกรรม (เช่น ระบายสี) เพื่อเสริมกล้ามเนื้อแกนกลาง
กิจกรรมเหล่านี้ช่วย “ปลุกสมอง” และทำให้สมองพร้อมรับข้อมูลใหม่ๆ มากขึ้น

👄 3. ระบบรับสัมผัสทางช่องปาก (Oral Sensory Input): การเคี้ยวเพื่อกระตุ้นสมาธิ
✔ เทคนิคเสริมสมาธิ:
เคี้ยวของกรุบกรอบ หรือหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล
ดูดน้ำผ่านหลอดเล็กยาว โดยเฉพาะน้ำเย็นหรือน้ำมะนาว หรือจะเป็นของชอบอย่างสมูทตี้
ใช้อุปกรณ์ดูด–เคี้ยว เฉพาะสำหรับเด็ก (Chewy tubes)
รสเปรี้ยว เช่น มะนาวหรือส้ม สามารถกระตุ้นความตื่นตัวทางประสาทได้ดีเยี่ยมเลย

👀 4. ระบบการมองเห็น (Visual Input): ลดสิ่งรบกวน – เพิ่มความจดจ่อ
✔ เทคนิคปรับสภาพแวดล้อม:
จัดโต๊ะให้ห่างจากหน้าต่าง/จอทีวี/ของเล่น
ใช้แสงธรรมชาติ หรือหลอดไฟสว่างแบบ Warm White
ใช้แผ่นกันสายตา (visual blockers) หากเด็กวอกแวกง่าย
เบรกทุก 20 นาที โดยให้มองไกล 20 ฟุต ประมาณ 20 วินาที (กฎ 20–20–20)
🔈 5. ระบบการได้ยิน (Auditory Input): เสียงรอบตัวส่งผลต่อสมาธิมากกว่าที่คิด

✔ ทางเลือกเพื่อความสงบ:
ใช้หูฟังตัดเสียงรบกวน (Noise-Cancelling Headphones)
เปิดเสียงสีขาว (White Noise) หรือดนตรีจังหวะช้า
จัดพื้นที่ทำการบ้านให้ห่างจากแหล่งเสียง เช่น ห้องครัวหรือโทรทัศน์
🌈 เทคนิคเหล่านี้เป็นมากกว่ากิจกรรม—they’re neurosensory nutrition!
เพราะสมาธิที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากการที่ระบบประสาท “รู้สึกพร้อมและเติมเต็มอย่างเต็มที่”
🧠 ความแตกต่างของการฝึกพัฒนาการโดยนักกิจกรรมบำบัด
การเลือกกิจกรรมให้เด็ก ไม่ใช่แค่ให้เล่นตามใจแต่ต้องอิงตามพัฒนาการของระบบประสาทที่ซับซ้อน
นักกิจกรรมบำบัดจะช่วย:
ประเมินระดับการทำงานของระบบประสาทรับความรู้สึก
ออกแบบ “Sensory Diet” ที่เหมาะสมกับแต่ละเด็ก
ช่วยให้พ่อแม่เข้าใจว่าลูกต้องการสิ่งกระตุ้นแบบใด เวลาใด และปริมาณแค่ไหน
ปรับพฤติกรรมเด็กจากรากฐาน ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
📌 หากคุณเริ่มสงสัยว่า...
ลูกไม่มีสมาธิ ทำการบ้านไม่จบ
ไวต่อเสียง แสง สัมผัส หรือมักเคลื่อนไหวมากเกินไป
มีปัญหาเรื่องการเรียนรู้ หรืออารมณ์ในชีวิตประจำวัน
✨ ขอแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกิจกรรมบำบัด
เรายินดีประเมินพัฒนาการและให้คำแนะนำเฉพาะสำหรับลูกคุณ
🎯 เพราะ “ทุกพฤติกรรมการเล่น” ล้วนมีรากฐานจากระบบประสาท และนักกิจกรรมบำบัดคือผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจถึงแก่นแท้ของ "Sensory Play" อย่างแท้จริง
Ref:
AOTA (2023). Sensory Integration and Processing Disorders.
Schaaf & Mailloux (2022). Sensory Integration: Theory and Practice.
Dunn (2024). Sensory Processing Framework for Participation.




ความคิดเห็น